เวลาของ "ชา"
               


                 ----------------------------------------------------------

              เ ว ล า ข อ ง  " ช า "

                 ----------------------------------------------------------


แค่นึกถึงน้ำชา ก็ทำให้รู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนช้าลงแล้ว...

ชาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมรองจากน้ำเปล่า มีกำเนิดที่ประเทศจีนและแพร่หลายไปทั่วโลก คนจีนทราบว่าชานั้น

มีประโยชน์ต่อสุขภาพมาตั้งแต่ 4,700 ปีที่แล้ว ทั้งช่วยต้านความเหนื่อยล้า ผ่อนคลายความเครียด ไปจนถึง

ต้านมะเร็ง

 

ใบชาที่นำมาทำเครื่องดื่มชามี 6 ประเภท คือ ชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาอู่หลง ชาดำ และชาปู-เออร์ ส่วน

ใหญ่ที่เรารู้จัก ชาขาว ชาเขียว และชาดำกันดี และชาเหล่านี้มีขายทั่วไป

ชาที่มีกลิ่นหรือรสสมุนไพร เกิดจากการนำใบชาหมักกับผลไม้ ดอกไม้ สมุนไพร เพื่อให้มีรสชาติที่น่าสนใจ

มากขึ้น

 

 

ปัจจุบัน การดื่มชาเป็นประเพณีและวัฒนธรรมเฉพาะในหลายประเทศ

 

          ป ร ะ เ ท ศ จี น  มีประเพณีการดื่มชาก่อนที่จะแพร่หลายไปประเทศอื่นๆ หลายศตวรรษ การดื่มชา จัด

เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำตอนตื่นอน มีร้านชาอยู่ทั่วทุกมุมถนน คนจีนถือว่าการดื่มชาเป็นวิธีสร้างสัมพันธ์กับ

บุคคลในครอบครัว พิธียกน้ำชาในงานแต่งงานเป็นการแสดงความขอบคุณต่อพ่อแม่ ผู้ใหญ่ ฉะนั้นจะเห็นว่าชา

เป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมจีนมาก ชาที่ดื่มส่วนใหญ่คือ ชาดำ ชาอู่หลง และจะไม่เติมนม หรือน้ำตาลใดๆลงใน

ชา

         ป ร ะ เ ท ศ อั ง ก ฤ ษ  คาดว่าคนอังกฤษประมาณ 70% ดื่มชาเป็นประจำ พวกเขามีช่วงเวลาในช่วงบ่าย

แก่ๆ สำหรับดื่มชา เรียกว่า Tea Time ซึ่งการดื่มชามักคู่กับแซนด์วิชชิ้นเล็กๆ ขนมปังสโคนส์ (Scones) ซึ่ง

เป็นขนมปังก้อนเนื้อร่้วน กินกับแยมและครีม และอาจมีของหวานชิ้นเล็กๆ กินพอดีคำร่วมด้วย ชาทีคนอังกฤษ

ดื่มส่วนใหญ่เป็นชาดำใส่นมและน้ำตาล

 

         ป ร ะ เ ท ศ โ ม ร็ อ ก โ ก  คนโมร็อกโกดื่มชาตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะร่วมกับมื้ออาหาร ชาที่ดื่มเป็นชา

เขียวผสมใบมินต์ หรือใบสระแหน่ลงไปต้มด้วยกัน และใส่น้ำตาลค่อนข้างมาก ให้ชามีรสชาติหวานยิ่งขึ้น ซึ่งจะ

เข้ากันดีกับอาหารรสจัดของพวกเขา

 

         ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยศึกษาประโยชน์ของชาอย่างละเอียดขึ้น และประโยชน์ของการดื่มชา

 

เป็นประจำที่นักวิจัยค้นพบได้แก่

  1. ชามีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า Epigallocatechin Gallate หรือ EGCG ซึ่งมีส่วนยับยั้ง
    การเจริญเติบโตของมะเร็งปอด
  2. ชามีส่วนเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย สารกาเฟอีนในชาอาจเพิ่มความทนทานให้แก่
    นักกีฬาอีกด้วย
  3. ชากระตุ้นให้สมองตื่นตัว ด้วยกรดอะมิโนชื่อว่า L-theanine ที่พบในใบชาเท่านั้น เมื่อรับเข้าไป
    ในร่างกายแล้วถูกดูดซึมในลำใส้เล็กผ่านเข้าไปในสมอง และเพิ่มคลื่นสมองแอลฟาซึ่งช่วยให้รู้สึก
    ผ่อนคลาย ในขณะเดียวกัน สมองก็ตื่นตัวพร้อมที่จะเรียนรู้และทำงาน 
  4. ชาอาจช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน นักวิจัยพบอีกด้วยว่า L-theanine นี้ อาจช่วยให้ร่างกายต่อสู้
    กับเชื้อโรคได้มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มชาถึง 5 เท่า
  5. ชาช่วยลดความเครียด มีการศึกษาผู้ที่ดื่มชาดำวันละ 4 ถ้วย มีฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาเมื่อเผชิญกับความเครียด น้อยกว่ากลุ่มผู้ที่ไม่ดื่มชาถึงร้อยละ 20
    และในการศึกษาเดียวกันก็ดูด้วยว่า ผู้ที่ดื่มชามีความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลนลดลง
  6. ชาช่วยลดอาการสมองเสื่อม ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG นี้ผ่านเข้าไปในสมองได้
  7. งานวิจัยหลักที่ทำกันมาก คือ พบว่าชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
    โดยสารต้านอนุมูลอิสระ Polyphenols ลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของหลอดเลือด
    (ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว) จึงมีส่วนช่วยในด้านลดคอเลสเตอรอล
    ลดคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และช่วยลดความดันโลหิตลงได้
 

 
         ถึงแม้มีการศึกษาเกี่ยวกับชามาก แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่าประโยชน์ที่ได้นั้นมาจากปัจจัยอื่นๆด้วยหรือไม่
คนที่ดื่มชาเป็นประจำ มักมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี ไม่เครียด ไม่สูบบุหรี่ และออกกำลังกายเป็นประจำร่วมด้วย
ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ
 
         สิ่งที่พบจากการดื่มชามากๆ คือ วอาจมีข้อเสียที่ได้จากสารออกซาเลต กับสารแทนนิน ซึ่งลดการดูดซึม
แคลเซียมและธาตุหล็ก นอกจากนี้พบว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มร้อนมากๆเป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งใน
หลอดอาหารด้วย ทางที่ดีคือ ควรดื่มชาพอประมาณ วันละ 3-4 ถ้วย และดื่มนมหรืออาหารอื่นๆที่มีแคลเซียม
บ้าง และควรรอประมาณ 3-4 นาทีให้เครื่องดื่มนั้นเย็นลงบ้างก่อนที่จะดื่ม
 
        ชามีสารกระตุ้นกาเฟอีนเช่นเดียวกับกาแฟ แต่พบว่ามีปริมาณน้อยกว่า และไม่มีการศึกษาที่รองรับว่าสาร
กาเฟอีนในชากระตุ้นการขับน้ำออกจากร่างกายแต่อย่างใด
 

เครื่องดื่ม

กาเฟอีนใน 1 ที่เสริฟ*

ชา

12-67

กาแฟผงสำเร็จรูป

53-144

กาแฟสด

85-200

เครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อน (โกโก้ร้อน)

8-13

เครื่องดื่มโคล่า

36-59

 
*1 ที่เสริฟคือ ชา กาแฟ ช็อกโกแลตร้อน 200 มิลลิลิตร และเครื่องดื่มโคล่า 330 มิลลิลิตร
ที่มา : www.liptoninstituteoftea.org
     
      ปัจจุบัน ชาสำเร็จรูปที่อยู่ในขวดเป็นที่นิยมกันมาก แต่น่้าเสียดายที่นักวิจัยพบว่า ชาสำเร็จรูปบรรจุขวด
เหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าชาที่ชงจากใบชามาก สารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอลในชาที่ชงเองจาก
ใบชาจะมีประมาณ 100-150 มิลลิกรัม แต่ในชาสำเร็จรูปบรรจุขวดมีเพียง 40 มิลลิกรัมหรือต่ำกว่า บางยี่ห้อ
อาจมีน้อยมากๆ หรือแทบไม่มีเลยจากการวิจัยชาบรรจุขวดยี่ห้อดังในประเทศสหรัฐอเมริกา และชาขวดเหล่านี้
มักมีของแถมที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วยนั่นคือ น้ำตาล
 
     ถึงแม้การศึกษาวิจัยเรื่องชายังมีข้อบกพร่องอยูบ้าง และยังหาข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้ แต่การดื่มชามี
ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของผู้ดื่มไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อดื่มชาทดแทนเครื่องดื่มอื่นๆที่มากด้วย
น้ำตาล มากด้วยพลังงานเปล่า ฉะนั้นแนะนำชาเป็นเครื่องดื่มที่สำหรับดื่มทุกวันรองจากน้ำเปล่า ร่วมกับการมี
พฤติกรรมเสริมสุขภาพด้านอื่นๆด้วย
 
 
 
 
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีดี จาก...
กิ น ดี ไ ด้ สุ ข ภ า พ ดี
-------------------------------------
"แพ็ต" กฤษฎี โพธิทัต นัำกกำหนดอาหาร